การลงทุนในนโยบายการเติบโตอย่างมีส่วนร่วมมากขึ้นจะสามารถช่วยคนยากจนในชนบทได้
21 ตุลาคม 2565 กรุงเทพฯ – รายงานการวิเคราะห์รายได้ในชนบท – โอกาสและความท้าทายของเกษตรกร (Rural Income Diagnostic-Challenges and Opportunities for Rural Farmers) ของธนาคารโลกที่เปิดตัวในวันนี้พบว่า ประเทศไทยมีความคืบหน้าในการลดความยากจนจากร้อยละ 58 ในปี 2533 เป็นร้อยละ 6.8 ในปี 2563 โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 79 ของคนยากจนยังคงอยู่ในพื้นที่ชนบทและส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
รายงานวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่าการลดความยากจนของประเทศไทยชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา โดยความยากจนเพิ่มขึ้นในปี 2559 2561 และ 2563 สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง รายได้จากภาคการเกษตรและภาคธุรกิจที่ซบเซา และวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 อัตราความยากจนในพื้นที่ชนบทสูงกว่าในเขตเมืองมากกว่าร้อยละ 3 และจำนวนคนจนในชนบทมีจำนวนมากกว่าคนจนในเมืองเกือบ 2.3 ล้านคน การกระจายความยากจนยังมีความแตกต่างในแต่ละภูมิภาค โดยอัตราความยากจนในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือสูงเป็นสองเท่าของอัตราความยากจนเฉลี่ยของประเทศ
“ประเทศไทยมีศักยภาพในการสนับสนุนครัวเรือนในชนบทให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยั่งยืน” ฟาบริซิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าว “ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังปรับตัวให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่ (New normal) หลังการระบาดของโควิด มาตรการเชิงนโยบายที่เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การสนับสนุนการเพาะปลูกพืชผลที่มีความหลากหลายและมีมูลค่าสูง การปรับปรุงการเข้าถึงตลาดผ่านการเชื่อมต่อในพื้นที่ชนบทที่ดีขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จะสามารถแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ ที่คนยากจนในชนบทต้องเผชิญได้”
จากการศึกษาพบว่า การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่ในเขตเมืองอย่างรุนแรง เนื่องมาจากมาตรการที่จำกัดการเคลื่อนย้าย การปิดกิจการ และการเลิกจ้างงาน อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในเมืองจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผลกระทบของวิกฤตที่มีต่อเศรษฐกิจในชนบทจะยังคงมีผลอยู่อย่างยาวนานขึ้น ผลกาารสำรวจทางโทรศัพท์เพื่อติดตามสถานการณ์โรคโควิด-19 ของธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่าร้อยละ 70 ของครัวเรือนในชนบทมีรายได้ลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563
การวิเคราะห์ยังพบว่า ในปี 2562 ประเทศไทยมีอัตราความไม่เท่าเทียมกันของรายได้สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกด้วยค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini coefficient) ที่ร้อยละ 43.3 โดยครัวเรือนในชนบทมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 68 ของครัวเรือนในเขตเมือง หลายครัวเรือนในชนบทยังคงขาดการศึกษา มีผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงจำนวนมาก และมีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก
นาเดีย เบลฮัจ ฮัสซีน เบลกิธ นักเศรษฐศาสตร์ความยากจนของธนาคารโลก กล่าวว่า "มาตรการด้านนโยบายที่มีความเชื่อมโยงหลากหลายมิติเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะ จะมีความสำคัญต่อการสนับสนุนครัวเรือนในชนบท เกษตรกรส่วนใหญ่มีการศึกษาน้อยและขาดทักษะทางดิจิทัล อีกทั้งประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรสูงอายุ ดังนั้น การสร้างทักษะให้เกษตรกรที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่อีกด้วย”
รายงานการวิเคราะห์รายได้ในชนบท – โอกาสและความท้าทายของเกษตรกรของประเทศไทยที่จัดทำโดยธนาคารโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาความท้าทายและโอกาสในการปรับปรุงรายได้และผลผลิตในภาคชนบท รายงานวิเคราะห์นี้ยังเสนอวิธีที่จะสนับสนุนการเติบโตของรายได้ในระยะสั้นและระยะกลางโดยให้ความสำคัญกับครัวเรือนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม เนื่องจากเป็นภาคส่วนที่มีความยากจนและมีความเปราะบางมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ