เมื่อ 4 ปีก่อน ชาวชุมชนยากจนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดนครสวรรค์และอีกหลายจังหวัดในประเทศไทยต่างได้รับความทุกข์ยากจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ภัยพิบัตินี้ส่งผลให้ประชาชนกว่า 13 ล้านคนในประเทศและอีกหลายคนต้องถูกน้ำท่วมเป็นเวลาหลายเดือน
“น้ำจากแม่น้ำปิงเอ่อล้นและเข้าท่วมขังชุมชนเราอยู่นานถึง 3-5 เดือน” คุณอร่ามศรี จันทร์สุขศรี ผู้นำชุมชนวัดเขาจอมคีรีนาคพรต” กล่าว “กลิ่นน้ำท่วมขังนี่แย่จนทนไม่ไหว”
อร่ามศรีได้ให้ข้อมูลเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2554 ว่า
“พวกเราเคยเอากระสอบทรายมาสร้างเป็นกำแพงกั้นน้ำแต่ก็ไม่สามารถกันน้ำท่วมได้” เธอเล่าให้ฟังเพิ่มเติมอีกว่า “บ้านบางหลังถูกน้ำท่วมจนถึงหลังคาบ้าน ชาวบ้านต้องย้ายไปอาศัยอยู่บนภูเขา นอนในเต๊นท์ และรอเวลาที่น้ำลด”
หลังจากที่ชาวชุมชนได้ใช้พยายามขอยืมเครื่องสูบน้ำจากหมู่บ้านใกล้เคียงหลายครั้ง พวกเขาจึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่สำคัญที่จะคงอยู่ตลอดไปคือการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเพื่อตั้งรับภัยพิบัติในอนาคตต่างหาก
การขับเคลื่อนของชุมชนจากร่องรอยของน้ำท่วมในหมู่บ้าน
หลังจากการรวบรวมข้อมูลในชุมชนแล้ว ชาวบ้านได้ทำงานร่วมกันสำรวจร่องรอยหลักฐานจากน้ำท่วมในหมู่บ้าน จากนั้น พวกเขาได้พัฒนาโครงการที่จะช่วยสร้างระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติให้ชุมชนหลังจากผ่านการอบรมจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนจนเมืองของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนแล้ว
ที่วัด ชาวบ้านได้จัดลำดับความสำคัญในแต่ละชุมชน อาทิ การซ่อมถนน การสร้าง หรือปรับปรุงคลองระบายน้ำให้ดีขึ้น รวมถึงการติดตั้งสถานีเครื่องสูบน้ำ
คุณสกล บำรุงจิตรหนึ่งในผู้นำชุมชนได้เล่าให้ฟังว่า “เราได้รับความร่วมมืออย่างดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากทุกคนสามารถเห็นผลงานเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน อย่างเช่น ถนนซึ่งชาวชุมชนได้ช่วยกันสร้างด้วยตัวเอง จากเดิมที่เคยมีชาวบ้านแค่ 20-30 คนมาช่วยกันทำ ตอนนี้เรามีชาวบ้านช่วยกันมากกว่า 100 คน เนื่องจากเรารู้ว่าประโยชน์จะตกอยู่กับทุกคนในชุมชน”