กรุงเทพฯ, 20 สิงหาคม 2555, สมใจ ไตรสิริธนาโชติ, อายุ 50 ปี, แม่บ้านประจำอาคารแห่งหนึ่งในกรุงเทพ มีอาการป่วยเป็นเวลานานหลายเดือน ให้ข้อมูลว่า “นักส่งเสริมสุขภาพคนหนึ่งบอกฉันถึงเรื่องระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ฉันจึงสมัครเข้าร่วม ต่อมาฉันได้พบแพทย์ที่โรงพยาบาลรัฐด้วยบัตรทอง และพบว่าฉันป่วยจากโรคความดันโลหิตสูง ไปโรงพยาบาลได้สองครั้ง สุขภาพฉันดีขึ้นมากหลังจากไปโรงพยาบาลได้สองครั้ง”
ความสำเร็จด้านสาธารณสุขของไทย
สมใจ ไตรสิริธนาโชติ เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนไทยซึ่งได้รับประโยชน์จากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า โครงการนี้เริ่มจากการที่คนไข้ทุกคนมีค่าใช้จ่ายในการพบแพทย์หนึ่งครั้งไม่เกินคนละ 30 บาท ณ โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ร่วมโครงการ ไม่ว่าจะเป็นคนไข้นอกหรือคนไข้ใน และรวมไปถึงค่ายาด้วย ต่อมาในปี 2550 รัฐได้ยกเลิกการเก็บเงินจำนวนดังกล่าว และให้บริการโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ผลของโครงการดังกล่าวได้ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนยากจน ในขณะนี้ประชาชนจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 0.5 เท่านั้นที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ หรือไม่ได้รับการคุ้มครองด้านสาธารณสุข อีกทั้งยังพบว่าประเทศไทยมีอัตราการรอดชีวิตจากโรคมะเร็ง และโรคหัวใจระยะสองปีที่ดีขึ้นด้วย
แม้ความสำเร็จด้านระบบสาธารณสุขในไทยเป็นที่ประจักษ์เด่นชัด แต่ก็ยังถูกท้าทายจากอุปสรรคสามประการดังนี้
ความไม่เท่าเทียมในระบบบริการสาธารณสุข
แม้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงบริการสาธารณสุขมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกัน บุคลากรและทรัพยากรต่างๆ ด้านการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ และปริมาณแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ นอกจากนั้น การที่ประเทศไทยยังคงมีระบบคุ้มครองสุขภาพอีกสองระบบ ที่ให้การดูแลผู้ได้รับประโยชน์แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับคนไข้ภายใต้โครงการสวัสดิการข้าราชการ สูงกว่าคนไข้ที่อยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าถึงสี่เท่า
ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
ประเทศไทยอาจจะประสบความสำเร็จในเรื่องสาธารณสุขถ้วนหน้าด้วยค่าจ่ายที่ต่ำ แต่มีข้อแตกต่างกับประเทศที่มีรายได้ปานกลางตรงที่ รัฐเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการสาธารณสุขต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากร้อยละ 1.4 ในปี 2538 เป็นประมาณร้อยละ 3 ในปี 2551 ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และแผนงานด้านสุขภาพอื่นๆ เพราะมีจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ เพิ่มขึ้น ประชากรสูงอายุมากขึ้น และอื่นๆ
“สัดส่วนงบประมาณรัฐสำหรับสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความท้าทายให้กัยระบบประกันสุขภาพให้ยั่งยืนในระยะยาว” ดร. สุทยุต โอสรประสพ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนามนุษย์จากธนาคารโลก ประจำประเทศไทย และหนึ่งในคณะผู้เขียนรายงาน Thailand Public Financial Management Report Discussion Papers กล่าว
ดร. สุทยุตได้เพิ่มเติมว่า “รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ด้านการสาธารณสุขตระหนักในเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนี้ และได้บังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาบางมาตรการ เช่น การปรับปรุบการจัดการจ่ายเงินให้กับสถานพยาบาล และการให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพด้านต่างๆ แต่ยังคงมีมาตรการต่างๆ อีกมากที่สามารถทำได้”