Skip to Main Navigation
publication วันที่ 5 มีนาคม 2563

จับชีพจรความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย

Image

ประเด็นสำคัญ

จากการประเมินสถิติอย่างเป็นทางการของภาครัฐ  อัตราความยากจนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นสองครั้งในปี 2559 และปี 2561 ภาคครัวเรือนมีความเปราะบางจากภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ

  • ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา และนับตั้งแต่ที่มีการตีพิมพ์ข้อมูลภาวะความยากจนอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2531 นั้น ประเทศไทยได้ประโยชน์จากการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจที่สำคัญหลายประการ อัตราความยากจนอย่างเป็นทางการลดลงจากร้อยละ 65.2 ในปี 2531 เป็นร้อยละ 9.85 ในปี 2561
  • อย่างไรก็ตาม  ในช่วงไม่กี่ปีก่อนนี้ การเติบโตของรายได้และการบริโภคของครัวเรือนได้หยุดชะงักทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครัวเรือนที่อยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำล่างสุดของระดับการกระจายรายได้
  • ระหว่างปี 2558 ถึงปี 2561 อัตราความยากจนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.21 เป็นร้อยละ 9.85 และค่าสัมบูรณ์ของประชากรที่อยู่ในภาวะยากจนเพิ่มสูงขึ้นจาก 4,850,000 คน เป็นมากกว่า 6,700,000 คน
  • ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  จำนวนประชากรในสองภูมิภาคนี้ยากจนเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งล้านคนตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2561
  • อัตราความยากจนอย่างเป็นทางการของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นในปี 2559 และอีกครั้งในปี  2561 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราความยากจนอย่างเป็นทางการที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่สี่และครั้งที่ห้านับแต่ปี 2541 โดยก่อนหน้านี้  อัตราความยากจนของประเทศไทยเคยเพิ่มขึ้นมาแล้วสามครั้งในปี 2541, 2543 และ 2551 ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับวิกฤติการณ์ทางการเงิน
  • ในปี 2561 นับเป็นครั้งแรกที่ภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีอัตราความยากจนสูงที่สุดในประเทศ
  • ในปี 2561 แม่ฮ่องสอน ปัตตานี กาฬสินธุ์ นราธิวาส และตากเป็นห้าจังหวัดที่มีอัตราความยากจนสูงที่สุด จังหวัดในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดน หรืออยู่ในเขตพื้นที่ขัดแย้งในภาคใต้
  • ภาวะความยากจนที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2561 เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคใน 61 จังหวัดจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ
  • การผลิกผันของการลดอัตราความยากจนเกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่แย่ลง
    • ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อัตราการเติบโตของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ในปี 2562 ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่ำที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่ร้อยละ 2.7 (ตัวเลขประมาณการณ์ เดือนตุลาคม 2562)
    • การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับปานกลางทั่วทั้งภูมิภาค  เนื่องจากการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลกอ่อนตัวลงและส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทย
    • ภาวะภัยแล้งได้เริ่มส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกรซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุดอยู่แล้ว
    • อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็เผชิญกับการหดตัว
  • การเปลี่ยนแปลงด้านรายได้ครัวเรือนเมื่อไม่นานมานี้บอกถึงต้นตอของการเปลี่ยนแปลงภาวะยากจน
    • รายได้ที่แท้จริงจากภาคการเกษตรและภาคธุรกิจลดลงในครัวเรือนที่อยู่ในเขตชนบทและเขตเมืองตามลำดับ  รายได้จากค่าแรงของครัวเรือนในเขตเมืองก็ลดลงด้วยเช่นกัน
    • เรื่องนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงแนวโน้มความผลิกผันที่เคยเกิดขึ้นทั่วประเทศในอดีต  ระหว่างปี 2550-2556 นั้น ค่าแรง รายได้จากภาคการเกษตร และเงินกลับบ้านของแรงงานในประเทศมีผลช่วยให้ความยากจนลดลง แต่ในปี 2558–2560 นี้ สิ่งเหล่านี้กลับเป็นต้นตอทำให้ความยากจนเพิ่มสูงขึ้น
    • การสังเกตุข้อมูลตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่าครัวเรือนต่างรู้สึกว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่แย่ลงกว่าเดิม

รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้มีมาตรการและการลงทุนเพื่อช่วยเหลือครัวเรือนให้หลุดพ้นจากภาวะความยากจนที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น ให้การสนับสนุนกลุ่มคนสูงวัย และกระตุ้นโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

  • ความเหลื่อมล้ำมีประเด็นรายละเอียดที่สำคัญหลายเรื่อง และต้องเข้าใจความเปราะบางในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างถ่องแท้ ซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับการอภิปรายอย่างตรงไปตรงมาเพื่อที่ประเทศไทยจะได้ก้าวไปสู่การสร้างสังคมมั่งคั่งในอนาคตได้
  • การระบุกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มีความเปราะบางต้องดำเนินการให้ดีกว่านี้  และจำเป็นต้องทำอย่างรวดเร็ว มีการบริหารจัดการความเสี่ยง และหาทางเลือกของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพอื่น ๆ ไว้รองรับเมื่อเศรษฐกิจเกิดการเปลี่ยนแปลง
  • ในอนาคต การลดความเหลื่อมล้ำที่เด็กหลายคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพและผลิตภาพของตนอย่างเต็มที่ในสังคม และมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต
    • ยกตัวอย่าง เด็กในกรุงเทพฯ ที่มีอายุระหว่าง 6–14 ปีมากกว่าครึ่งเข้าถึงโอกาสครบทุกด้าน (อาทิ การศึกษา สินทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน) เมื่อเทียบกับเด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสเดียวกันนี้
    • ในขณะที่ เด็กทั่วประเทศมีโอกาสเข้าถึงเรื่องพื้นฐานทั่วไป เช่น โอกาสการเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษานั้นเกิดขึ้นแทบจะทั่วทุกพื้นที่แล้วนั้น  แต่โอกาสในเรื่องอื่น ๆ ที่มากไปกว่านี้ยังขาดแคลนอยู่ เช่น โอกาสในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต
    • คนรุ่นถัดไปจะมีจำนวนลดน้อยลงเนื่องจากสังคมสูงวัยและอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง เด็กทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกัน และต้องได้รับโอกาสด้านสุขภาพและด้านการศึกษาเพื่อให้พวกเขาสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
  • ค่ามาตรฐานต่างๆ ที่ใช้วัดความเป็นอยู่ที่ดีของครัวเรือนจะต้องสูงขึ้น เนื่องจากค่าครองชีพ ความต้องการด้านและความจำเป็นพื้นฐานต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง